Sunday, 8 September 2024

01.คำพูดและชนิดของคำ (Parts of Speech)

04 Aug 2023
20
luminox watches

คำพูดและชนิดของคำ (Parts of Speech)

การเรียนรู้ คำพูด หรือ ชนิดของคำ (Parts of Speech) เป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ การเข้าใจและการใช้คำแต่ละชนิดอย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดของคำ หลักที่ต้องเรียนรู้ ได้แก่ คำนาม, คำกริยา, คำคุณศัพท์, คำวิเศษณ์, คำบุพบท, คำสันธาน, คำสรรพนาม, และคำอุทาน

1. คำนาม (Nouns)

คำนาม ใช้เพื่อระบุบุคคล, สถานที่, สิ่งของ, หรือแนวคิดต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท เช่น:

  • คำนามทั่วไป (Common Nouns): เช่น “book,” “city,” “teacher”
  • คำนามเฉพาะ (Proper Nouns): เช่น “London,” “John,” “The Eiffel Tower”
  • คำนามนับได้ (Countable Nouns): เช่น “apple,” “dog,” “car”
  • คำนามไม่สามารถนับได้ (Uncountable Nouns): เช่น “water,” “information,” “rice”

ตัวอย่าง:

  • “The dog is barking.”
  • “She traveled to Paris last year.”

2. คำกริยา (Verbs)

คำกริยา เป็นคำที่บ่งบอกถึงการกระทำหรือสถานะ โดยสามารถแบ่งได้เป็น:

  • กริยาหลัก (Main Verbs): เช่น “run,” “eat,” “sleep”
  • กริยาช่วย (Auxiliary Verbs): เช่น “is,” “are,” “have”
  • กริยาวลี (Phrasal Verbs): เช่น “give up,” “look after,” “run into”

ตัวอย่าง:

  • “She writes a letter.”
  • “They are playing soccer.”

3. คำคุณศัพท์ (Adjectives)

คำคุณศัพท์ ใช้เพื่อบรรยายคำนามหรือคำสรรพนาม โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติ, สี, ขนาด, หรือจำนวน:

  • คำคุณศัพท์ที่บรรยายสี: เช่น “red,” “blue,” “green”
  • คำคุณศัพท์ที่บรรยายขนาด: เช่น “big,” “small,” “tall”

ตัวอย่าง:

  • “The beautiful flower is blooming.”
  • “He lives in a small house.”

4. คำวิเศษณ์ (Adverbs)

คำวิเศษณ์ ใช้เพื่อบรรยายคำกริยา, คำคุณศัพท์, หรือคำวิเศษณ์อื่น โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำ เช่น การเวลา, สถานที่, ความถี่:

  • คำวิเศษณ์ที่บรรยายการกระทำ: เช่น “quickly,” “carefully”
  • คำวิเศษณ์ที่บรรยายคุณสมบัติ: เช่น “very,” “quite”

ตัวอย่าง:

  • “She sings beautifully.”
  • “The book is very interesting.”

5. คำบุพบท (Prepositions)

คำบุพบท ใช้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือสรรพนามกับคำอื่นในประโยค โดยมักจะระบุสถานที่, เวลา, หรือทิศทาง:

  • คำบุพบทที่แสดงสถานที่: เช่น “in,” “on,” “under”
  • คำบุพบทที่แสดงเวลา: เช่น “at,” “during,” “before”

ตัวอย่าง:

  • “The cat is on the roof.”
  • “She will arrive at noon.”

6. คำสันธาน (Conjunctions)

คำสันธาน ใช้เชื่อมประโยคหรือกลุ่มคำเพื่อแสดงความสัมพันธ์ เช่น การเปรียบเทียบ, การเชื่อมต่อ, หรือการเปลี่ยนแปลง:

  • คำสันธานประสาน (Coordinating Conjunctions): เช่น “and,” “but,” “or”
  • คำสันธานสัมพันธ์ (Subordinating Conjunctions): เช่น “because,” “although,” “if”

ตัวอย่าง:

  • “I want to go to the park, but it is raining.”
  • “She will attend the meeting if she finishes her work.”

7. คำสรรพนาม (Pronouns)

คำสรรพนาม ใช้แทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อน และทำให้ประโยคกระชับขึ้น:

  • คำสรรพนามบุรุษ (Personal Pronouns): เช่น “I,” “you,” “he,” “she”
  • คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronouns): เช่น “my,” “your,” “his,” “her”

ตัวอย่าง:

  • She is my friend.”
  • “This is her book.”

8. คำอุทาน (Interjections)

คำอุทาน ใช้เพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกในรูปแบบสั้น ๆ มักจะมีการใช้ในภาษาไม่เป็นทางการ:

  • คำอุทานแสดงความดีใจ: เช่น “Wow!,” “Yay!”
  • คำอุทานแสดงความเจ็บปวด: เช่น “Ouch!,” “Oh!”

ตัวอย่าง:

  • Wow! That’s amazing!”
  • Ouch! That hurts.”

การเข้าใจและใช้ชนิดของคำเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้คุณสามารถเข้าใจและสร้างประโยคภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและหลากหลายมากยิ่งขึ้น

Thanat Sirikitphattana

แบ่งปันกัน เราอยู่กันไม่เกิน 100 ปีหรอกครับ
สุดท้ายก็ทิ้งไว้ที่โลก จะคงเหลือไว้แต่คุณงามความดีที่ให้ระลึกถึงกันครับ

Follow Us / Thanat Sirikitphattana