คำพูดและชนิดของคำ (Parts of Speech)
การเรียนรู้ คำพูด หรือ ชนิดของคำ (Parts of Speech) เป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ การเข้าใจและการใช้คำแต่ละชนิดอย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิดของคำ หลักที่ต้องเรียนรู้ ได้แก่ คำนาม, คำกริยา, คำคุณศัพท์, คำวิเศษณ์, คำบุพบท, คำสันธาน, คำสรรพนาม, และคำอุทาน
1. คำนาม (Nouns)
คำนาม ใช้เพื่อระบุบุคคล, สถานที่, สิ่งของ, หรือแนวคิดต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภท เช่น:
- คำนามทั่วไป (Common Nouns): เช่น “book,” “city,” “teacher”
- คำนามเฉพาะ (Proper Nouns): เช่น “London,” “John,” “The Eiffel Tower”
- คำนามนับได้ (Countable Nouns): เช่น “apple,” “dog,” “car”
- คำนามไม่สามารถนับได้ (Uncountable Nouns): เช่น “water,” “information,” “rice”
ตัวอย่าง:
- “The dog is barking.”
- “She traveled to Paris last year.”
2. คำกริยา (Verbs)
คำกริยา เป็นคำที่บ่งบอกถึงการกระทำหรือสถานะ โดยสามารถแบ่งได้เป็น:
- กริยาหลัก (Main Verbs): เช่น “run,” “eat,” “sleep”
- กริยาช่วย (Auxiliary Verbs): เช่น “is,” “are,” “have”
- กริยาวลี (Phrasal Verbs): เช่น “give up,” “look after,” “run into”
ตัวอย่าง:
- “She writes a letter.”
- “They are playing soccer.”
3. คำคุณศัพท์ (Adjectives)
คำคุณศัพท์ ใช้เพื่อบรรยายคำนามหรือคำสรรพนาม โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติ, สี, ขนาด, หรือจำนวน:
- คำคุณศัพท์ที่บรรยายสี: เช่น “red,” “blue,” “green”
- คำคุณศัพท์ที่บรรยายขนาด: เช่น “big,” “small,” “tall”
ตัวอย่าง:
- “The beautiful flower is blooming.”
- “He lives in a small house.”
4. คำวิเศษณ์ (Adverbs)
คำวิเศษณ์ ใช้เพื่อบรรยายคำกริยา, คำคุณศัพท์, หรือคำวิเศษณ์อื่น โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำ เช่น การเวลา, สถานที่, ความถี่:
- คำวิเศษณ์ที่บรรยายการกระทำ: เช่น “quickly,” “carefully”
- คำวิเศษณ์ที่บรรยายคุณสมบัติ: เช่น “very,” “quite”
ตัวอย่าง:
- “She sings beautifully.”
- “The book is very interesting.”
5. คำบุพบท (Prepositions)
คำบุพบท ใช้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือสรรพนามกับคำอื่นในประโยค โดยมักจะระบุสถานที่, เวลา, หรือทิศทาง:
- คำบุพบทที่แสดงสถานที่: เช่น “in,” “on,” “under”
- คำบุพบทที่แสดงเวลา: เช่น “at,” “during,” “before”
ตัวอย่าง:
- “The cat is on the roof.”
- “She will arrive at noon.”
6. คำสันธาน (Conjunctions)
คำสันธาน ใช้เชื่อมประโยคหรือกลุ่มคำเพื่อแสดงความสัมพันธ์ เช่น การเปรียบเทียบ, การเชื่อมต่อ, หรือการเปลี่ยนแปลง:
- คำสันธานประสาน (Coordinating Conjunctions): เช่น “and,” “but,” “or”
- คำสันธานสัมพันธ์ (Subordinating Conjunctions): เช่น “because,” “although,” “if”
ตัวอย่าง:
- “I want to go to the park, but it is raining.”
- “She will attend the meeting if she finishes her work.”
7. คำสรรพนาม (Pronouns)
คำสรรพนาม ใช้แทนคำนามเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อน และทำให้ประโยคกระชับขึ้น:
- คำสรรพนามบุรุษ (Personal Pronouns): เช่น “I,” “you,” “he,” “she”
- คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Pronouns): เช่น “my,” “your,” “his,” “her”
ตัวอย่าง:
- “She is my friend.”
- “This is her book.”
8. คำอุทาน (Interjections)
คำอุทาน ใช้เพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกในรูปแบบสั้น ๆ มักจะมีการใช้ในภาษาไม่เป็นทางการ:
- คำอุทานแสดงความดีใจ: เช่น “Wow!,” “Yay!”
- คำอุทานแสดงความเจ็บปวด: เช่น “Ouch!,” “Oh!”
ตัวอย่าง:
- “Wow! That’s amazing!”
- “Ouch! That hurts.”
การเข้าใจและใช้ชนิดของคำเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้การสื่อสารของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้คุณสามารถเข้าใจและสร้างประโยคภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและหลากหลายมากยิ่งขึ้น
แบ่งปันกัน เราอยู่กันไม่เกิน 100 ปีหรอกครับ
สุดท้ายก็ทิ้งไว้ที่โลก จะคงเหลือไว้แต่คุณงามความดีที่ให้ระลึกถึงกันครับ
Follow Us / Thanat Sirikitphattana